Blog & News

Chelsea Boots

 

ลอนดอนบราวด์ขอแนะนำเชลซีบูท คู่แท้ของทุกวัน (โดยเฉพาะวันแรกของสัปดาห์ที่เป็นใครก็ขี้เกียจผูกเชือกรองเท้าไปทำงาน) มรดกจากปี 1851 ฝีมือการออกแบบของ Joseph Sparkes-Hall ช่างทำรองเท้าของควีนวิคตอเรีย เขาได้รับคำสั่งจากพระราชินีให้ผลิตรองเท้าบูทไร้เชือก เพราะเชือกมักไปพันกับโกลน (เหล็กทรงสามเหลี่ยมที่เอาไว้วางเท้า) ยามขี่ม้า จึงเป็นที่มาของการใส่ยางยืดเข้าไปทั้งสองด้าน ทำให้รองเท้าใส่และถอดออกได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งยางยืดตัวนี้ถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 1839 โดย Charles Goodyear วิศวกรและนักเคมีชาวอเมริกันผู้คิดค้นเทคนิค Vulcanization คือการเติมกำมะถันและใช้ความร้อนสูง ทำให้ยางแข็งแรงและยืดหยุ่นกว่าเดิม แต่กว่าที่คนจะเรียกบูทไร้เชือกแบบนี้ว่าเชลซี ก็ต้องข้ามมาถึงปี 1950 ในยุค Swinging London ที่วัยรุ่นอังกฤษต่างบ้าคลั่งความทันสมัยและแนวคิดแบบสุขนิยม ไม่ต้องแปลกใจหากย้อนเวลากลับไปแล้วคุณจะเห็นหญิงสาวสวมมินิสเกิร์ตอยู่ทุกหัวมุมถนน หรือผู้ชายสวมสูทสั่งตัดเนี๊ยบกริบแต่ขี่สกู๊ตเตอร์สั่งประกอบและฟังโมเดิร์นแจ๊ส ซึ่งก็คือซัปคัลเจอร์ของพวก Mod นั่นเอง เหตุผลที่บูทคู่นี้ได้ชื่อว่าเชลซีนั่นก็เพราะผู้คนบริเวณ King’s Road ซึ่งอยู่ในย่านเชลซีและฟูแล่มทางตะวันตกของลอนดอนนั้น ต่างสวมไอ้บูทไร้เชือกคู่นี้ ผู้คนที่พบเห็นจึงพร้อมใจกันเรียกว่าเชลซีบูท รองเท้าที่ไม่เคยห่างจากเท้าของเหล่าศิลปินหินกลิ้ง ‘The Rolling Stones’ ยันสี่เต่าทองแห่งเกาะอังกฤษอย่าง ‘The Beatles’   

 

 

มีนาคมนี้ ลอนดอนบราวด์พร้อมเสิร์ฟความคลาสสิกจากยุคหกศูนย์ ด้วยเชลซีบูทที่ผลิตจากหนังวัวคุณภาพสูงทั้งแผ่น ที่เราต้องพิถีพิถันเลือกเฉพาะหนังแผ่นใหญ่ไร้ตำหนิ นำมาขึงเพื่อปรับให้หนังโค้งพร้อมขึ้นโครงรองเท้า ก่อนจะถอดมาใส่หุ่นรองเท้าและอบความร้อนให้หนังนุ่ม ไม่ย่น กระบวนการนี้ใช้เวลากว่า 4 วัน 4 คืน สุดท้ายจึงค่อยมาเย็บกับพื้นรองเท้าถึง 2 รอบ ทั้งด้านในเพื่อความแข็งแรง และเย็บคิ้วรองเท้าเพื่อความสวยงาม

 

 

ไม่ต้องกังวลว่าจะใส่ยาก เพราะลอนดอนบราวด์ใช้เวลาหลายปีเพื่อพัฒนาทรงให้ไม่เรียวแหลมจนคนแฟชั่นมองค้อน หรือกลมจนคุณลุงข้างบ้านต้องแอบไปหยิบมาใส่ แต่เราเน้นทรงคลาสสิกที่ใส่ง่ายกับทุกชุด และไม่ต้องกลัวว่าจะดูเท้าใหญ่เกินตัว เพราะเราแต่งทรงจนมั่นใจว่านี่คือรองเท้าที่รับกับสรีระเท้าของคนไทยได้อย่างสมบูรณ์แบบในทุกองศา แนะนำว่าลองจับคู่เชลซีบูทกับสแล็กดำ เสื้อโปโล และสวมสูททับแบบ Mick Jagger แห่ง The Rolling Stones ก็จะทำให้วันสบายของคุณไม่ดูสบายเกินไปจนทิ้งลายขบถ หรือจะจับคู่กับชุดสูทเทา สแล็กรีดจีบหน้าคมกริบจรดปลายเท้า ก็เท่เหนือกาลเวลาได้แบบ The Beatles หรือถ้าคิดอะไรไม่ออก จะจับมาชนกับยีนส์ตัวเก่ง ทรงคมๆ เสื้อยืดขาวฟิตติ้งดีๆ สักตัว คุณจะได้ชุดเก่งที่อาจไม่ใหม่ แต่ไม่มีวันเชยแน่นอน

Pok – Wannarit Pongprayoon

— Interview

ป๊อก – วรรณฤต พงศ์ประยูร

นักดนตรีอิสระวง “Stylish Nonsense” และ “My Post Life”, เจ้าของค่ายเพลงอิสระ “Panda Records”
อาจารย์พิเศษคณะดุริยางค์ศิลป์. กรุงเทพฯ, ไทย

/

ชื่อ วรรณฤต พงศ์ประยูร ชื่อเล่นชื่อ ป๊อก อายุ 37 ปี ปัจจุบันเป็นนักดนตรีอิสระ และมีค่ายเพลงอิสระชื่อ Panda Records อีกอาชีพคือเป็นอาจารย์พิเศษคณะดุริยางค์ศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ และคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เรื่องที่สอนส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของกระบวนการผลิตงาน และการออกแบบด้านเสียง การใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ในการผลิตงานดนตรีต่างๆ

ผลงานทางด้านดนตรี

เป็นสมาชิกวง Stylish Nonsense เข้าปีที่ 20 แล้ว ทำกับเพื่อนอีกคนชื่อจูน ลักษณะของวงจะเป็นเพลงบรรเลงด้วยองค์ประกอบของผมกับจูน อีกงานคือเป็นงานเขียน เป็นงานเดี่ยวใช้ชื่อจริง นามสกุลจริง อีกโปรเจคเดี่ยวของผมมีชื่อว่า My Post Life ที่จะมีเนื้อเพลง และดนตรีประเภท folk ประกอบ
อีกวงมีชื่อว่า The Rocket Science ผมเล่นเบสในวงนี้ เป็นดนตรีแนว alternative grunge rock ยุค90 ผมเป็นคนเขียนเนื้อร้องและทำนอง คาดว่าจะมีอัลบั้มในปีนี้

อะไรเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง

สำหรับวง Stylish Nonsense แรงบันดาลใจจะมาจากคุณจูน เพื่อนร่วมวง เพราะเป็นวงประเภททดลอง ถ้าใครทำเสียงอะไรขึ้นมาเราจะต้องตอบสนองต่อเสียงนั้น เป็นทั้งทำนองดนตรี ซาวด์ หรือจะเป็น performance อะไรที่ประหลาดๆออกมา อย่างบางทีไม่มีเสียงแต่มีท่าทางอะไรแบบนี้ ก็เป็นเหมือน happening อย่างนึง แรงบันดาลใจอาจจะต้องเกิดจากสถานการณ์ตอนนั้นด้วย
ส่วนเนื้อเพลงของโปรเจค My Post Life ผมเขียนเนื้อร้องมาจากประสบการณ์ชีวิต มาทำโปรเจคนี้ในตอนที่เราอยู่ในวัยที่เริ่มมีความรู้สึกสะสมในใจพอสมควร ก็จะนำมาแต่งเพลง อย่างเมื่อคืนเพิ่งเขียนเพลงที่ได้แรงบันดาลใจจากการอ่านหนังสือ เพราะบางทีการอ่านหนังสือก็ทำให้เรารู้สึกสงสัย และตั้งคำถาม ผมว่าหนังสือก็เป็นแรงบันดาลใจที่ดี นอกเหนือจากนั้นก็จะเป็นเรื่องราวของคนรอบข้าง เพื่อน และบ้านเมือง

มุมมองเกี่ยวกับวงการเพลงไทยในตอนนี้

ผมคิดว่ากว้างขึ้น ด้วยความที่เราอยู่ตรงนี้มานานพอสมควร จะเห็นได้ว่าช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมานี้มีการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับวงการดนตรีมากขึ้น ยกตัวอย่างให้เห็นเลยก็จะมีวงดนตรีใหม่ๆ ที่ผลิตงานออกมาเอง จัดงานแสดงเอง ติดต่อกับแฟนเพลงเอง ผมเริ่มเห็นรูปแบบงานแบบอิสระมากขึ้น ซึ่งเมื่อก่อนอันนี้จะเป็นวัฒนธรรมต่างชาติ แต่ตอนนี้เริ่มเห็นในเมืองไทย โดยก่อนหน้านี้กิจกรรมเหล่านี้จะต้องขึ้นกับองค์กร หรือค่ายเพลงใหญ่ๆเท่านั้น ก็คิดว่าภาพรวมของวงการเพลงไทยดูคึกคักขึ้น ก็เหลือที่ผู้ฟังเพราะว่ายังเป็นกลุ่มน้อย ผมว่าน่าจะเป็นใน คนรุ่นถัดไปที่จะมีคนหันมาเสพย์งานดนตรีด้านนี้มากขึ้น

ยกตัวอย่างวงดนตรี 3 วง ที่มีอิทธิพลต่อวงการเพลงแนวทางเลือกในไทยมากที่สุด

Yellow Fang – เป็นวงดนตรีอิสระที่ไม่มีค่ายเพลง เค้ามีอิสระในการทำเพลงที่ดูเหมือนทั้งจริงจัง และไม่จริงจัง ผมหมายความว่ายังมีความเป็นตัวของตัวเอง และไม่ต้องเข้าไปลึกถึงธุรกิจดนตรี ผมว่าเป็นวงที่มีความน่าสนใจเยอะ และสร้างปรากฏการณ์ในวงการดนตรีเหมือนกัน

Aire – ถือเป็นตัวอย่างของวงดนตรีที่ไม่ใช่เด็กไทย หมายถึงว่าเค้าไม่ได้อยู่ในแวดวงของคนไทยอย่างพวกเรา ในวงจะมีสมาชิกเป็นคนญี่ปุ่นสองคน ลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นหนึ่งคน และคนไทยที่จบจากโรงเรียนนานาชาติอีกสองคน ผมว่าวงไอเร่น่าจับตาตรงที่เค้าทำเพลงโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยกระแส เศรษฐกิจ ความนิยม หรือแฟชั่นอะไร แต่อาศัยว่าวงดนตรีจะมีความแน่วแน่ขนาดไหน คือมันจะทำจริงรึปล่าว ถ้าทำดนตรีตามแฟชั่น พอหมดแฟชั่นมันก็จะหายไป ไอเร่เป็นตัวอย่างของวงที่อยู่ได้ด้วยฝีมือจริงๆ โดยไม่ได้สนใจว่าจะดังหรือไม่ก็ตาม

Desktop Error – วงนี้น่าจะเป็นต้นแบบของวงอินดี้ไทยที่พัฒนามาได้ด้วยตัวเอง คือเค้าเริ่มมาจากการเล่น house band ตามผับที่ต้องเล่นเพลง cover และใช้เวลานานกว่าจะมีอัลบั้ม กว่าจะมีแฟนเพลง พอมีแฟนเพลงแล้วก็ยังใช้เวลาต่อไปที่จะต้องพัฒนาวง จนพิสูจน์ว่าเค้าเป็นวงที่มีฝีมือ และมีพัฒนาการอย่างมาก

Style การแต่งตัวที่ชอบ

ผมชอบเสื้อผ้าที่มีสีสันเพราะว่าเป็นคนขี้เบื่อ ไม่ชอบอะไรซ้ำๆ ผมแต่งตัวตามสไตล์ที่ตัวเองชอบและถนัด นานๆ ทีถึงจะไปช้อปปิ้งบ้างถ้ามีเวลานอกเหนือจากเวลางาน

ส่วนใหญ่ในวันหยุดชอบทำอะไร

วันหยุดก็จะพาลูกๆ ไปเที่ยว หากิจกรรมแบบครอบครัวทำกัน บางทีก็จะไปแถวชานเมือง ไปปั้นดิน และจะชวนเพื่อนๆ ที่มีลูกวัยใกล้เคียงกันไปทำกิจกรรมร่วมกัน ถ้าไม่มีงานดนตรีก็จะทำแบบนี้ ถ้ามีงานดนตรีก็จะต้องไปดูดนตรี

บริหารเวลายังไงในการเป็นทั้งศิลปิน อาจารย์ และหัวหน้าครอบครัว

ผมนอนไม่ค่อยพอเท่าไหร่ นอนดึก ต้องตื่นเช้าไปส่งลูก กลางคืนถึงจะได้ทำงานของตัวเอง ดนตรีเป็นเหมือนงานอดิเรกไม่ได้ทำเพื่อเลี้ยงชีพ ผมโชคดีตรงที่ว่าผมเป็นอาจารย์พิเศษและไม่ต้องไปสอนทุกวัน เลยพอมีเวลาทำอย่างอื่น การเป็นอาจารย์ก็ช่วยให้เราได้แลกเปลี่ยนกับคนรุ่นใหม่ และได้ฝึกวุฒิภาวะแบบอาจารย์ มันต้องมีการใช้จิตวิทยา ความอดทน ผมว่าการสอนคนก็เหมือนการสอนตัวเอง คือได้รู้ว่าเราจะต้องอดทนเมื่อไหร่ หรือจะต้องรับฟังเมื่อไหร่ หรือเมื่อไหร่ที่จะต้องบอกกล่าว มันเป็นการบริหารอารมณ์ที่ดี

การดูแล Panda Records เป็นยังไงบ้าง

Panda Records เป็นเหมือนอีกครอบครัวหนึ่ง คนที่ร่วมงานด้วยส่วนใหญ่เป็นรุ่นน้อง หรือนักศึกษา ก็ยังมีจุดที่เราต้องสอนเค้า หรือคอยบอกเพื่อให้เค้ามีความรับผิดชอบและจะต้องสามารถดูแลตัวเองได้ ส่วนงานที่เป็นของค่ายมันก็ไม่มีอะไรมาก การทำเพลง ก็ทำมาขายไป หรือไปแสดงดนตรี ค่ายนี้ผมทำมา 14 ปีแล้ว ผมให้อิสระกับศิลปินในค่าย เหมือน freelance วันนึงเค้าอาจจะเปลี่ยนใจได้ ถ้าวันนึงอาจจะทำแล้วมันลำบากก็จะชะลอให้ช้าลง มันก็อยู่ที่เค้าว่าจะทำยังไง แต่สำหรับตัวผมเอง ผมอยู่ตรงนี้มานานแล้ว มันอาจจะผ่านช่วงเวลาที่ลำบากของชีวิตมาแล้วจนรู้สึกว่าสามารถทำต่อไปได้โดยที่ไม่ต้องกดดัน ขอแค่ให้ผมได้เล่นดนตรี คนส่วนใหญ่อาจจะมองว่าผมทำหลายอย่าง แต่การทำงานหลายอย่างทำให้ผมรู้สึกเติมเต็ม

DOUBLE MONK STRAP
available in Tan and Burgundy

June – Patcha Poonpiriya

— Interview

จูน – พัชชา พูนพิริยะ

นิสิตชั้นปีที่ 1 ภาควิชานฤมิตศิลป์ สาขาออกแบบแฟชั่นและสิ่งทอ,
นักแสดงนำหญิงเรื่อง “Mary Is Happy, Mary Is Happy.” / กรุงเทพฯ, ไทย

/

พัชชา พูนพิริยะ หรือ จูน ศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 1 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะศิลปกรรมศาสตร์ ภาควิชานฤมิตรศิลป์ สาขาออกแบบแฟชั่นและสิ่งทอ จูนคือนักแสดงนำหญิงจากภาพยนตร์เรื่อง “Mary Is Happy, Mary Is Happy.” ซึ่งเธอได้รับรางวัลสุพรรณหงส์ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในปีนี้ และยังได้รับรางวัลชนะเลิศจากโครงการ Your Own Private Issue ของนิตยสาร Nylon อีกด้วย

ทำไมถึงเลือกเรียนดีไซน์ที่นี่

จริงๆ มันมีหลายที่ที่เรียนดีไซน์แล้วดี แต่จูนรู้สึกชอบสไตล์งานของรุ่นพี่ที่จุฬาฯ มากที่สุดจากที่เคยเห็น แล้วก็สังคม เพื่อน รู้สึกว่าที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น อยู่แล้วรู้สึกเหมือนครอบครัว มันอบอุ่น

อะไรคือแรงบันดาลใจในการทำงานดีไซน์

ส่วนใหญ่คิดว่าเป็นความฝันของตัวเอง แต่เป็นความฝันในหลายๆ ด้าน อย่างแรกคือการได้ไปท่องเที่ยว อาจจะเป็นงานที่ได้ไปเที่ยวหลายๆ ประเทศ ได้แรงบันดาลใจมาจากประเทศแปลกๆ ที่ยังไม่เคยไป แต่ว่าเราชอบก็เลยสนใจ ก็จะทำรีเสิร์ชเกี่ยวกับอะไรพวกนั้น แรงบันดาลใจอีกอย่างก็น่าจะเป็นครอบครัว เพราะว่าอยู่ด้วยกันบ่อย แต่มันก็เป็นอะไรที่ดูมีความเป็นนามธรรม เพราะว่าเราอยู่กับครอบครัวตลอด มันจะมีความสนิทสนมกันระหว่างยีนส์ ซึ่งก็ดึงมาเป็นแรงบันดาลใจได้

ส่วนใหญ่แล้วจะหาแรงบันดาลใจจากไหน

คิดว่าได้มาจากหนังนะ ดูหนังเป็นเหมือนการทำงานที่ไม่ได้ทำงานอยู่ มันจะชิวมากเวลาที่เราสนใจจะทำประเด็นนี้ เหมือนหนังทำให้เกิดไอเดียใหม่ๆ และก็เอนจอยในการดูไปด้วย ยกตัวอย่างหนังที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการทำคอลเลคชั่นที่ต้องติวสอบ คือหนังเรื่อง The Virgin Suicides ตอนนั้นที่ได้ดูยังเด็กมาก แต่พี่ชายให้ดู ซึ่งตอนนั้นที่ดูรู้สึกว่าบรรยากาศหนังมันเข้ากับตัวเรามาก เป็นหนังที่หาดูยากพอสมควร ถ้าไม่ใช่คนที่เป็นคอหนังอะไรแบบนี้ แต่สิ่งที่ได้เรียนรู้จากหนังเรื่องนั้นคือเรื่องมู้ดและโทนสี ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถบรรยายคอลเลคชั่นเราได้ เป็นเหมือนตัวกำหนดทิศทางในการทำคอลเลคชั่นของเรา หนังเรื่องนี้ทำให้เข้าใจเลยว่าการมีมู้ดโทน กำหนดทิศทางในสิ่งที่เราดีไซน์มันเป็นยังไง และมู้ดโทน ของ The Virgin Suicides มันชัดมาก แล้วก็รู้สึกเป็นตัวเราด้วย ตอนนั้นเลยชอบมาก เป็นหนังที่มีความเป็นวัยรุ่นหวานๆ แต่ก็คอนทราสด้วยการฆ่าตัวตาย ซึ่งมันดูน่าสนใจ

ใครเป็น Fashion Icon ของจูน

Sofia Coppola ชอบเพราะรู้สึกว่าเค้าเป็นคนแต่งตัวดีโดยที่ไม่ต้องพยายาม จูนไม่ชอบคนที่ต้องแต่งตัวเยอะเกินไป โซเฟียจะเป็นแนวแบบ เสื้อตัวเดียว กางเกงตัวเดียว แต่ทุกอย่างลงตัว มันจบแบบดูดี

มีเป้าหมายอะไรในช่วงใกล้ๆ นี้ไหม

เรื่องเรียนไม่ค่อยเท่าไหร่เพราะเริ่มรู้สึกเหนื่อย ก็เอาเท่าที่เราทำได้ แต่เป้าหมายที่ตั้งไว้คืออยากไปเมืองนอก อยากไปเรียนที่นั่น คงจะไปประมานซัมเมอร์นี้ อาจจะเป็นคอร์สสั้นๆ เพราะประเด็นจริงๆ คือเราแค่อยากลองไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกสักเดือนนึง มีแพลนว่าจะไปอเมริกา และอีกประเทศที่อยากจะไปก็คือประเทศแถบสแกนดิเนเวีย

สไตล์การแต่งตัวที่ชอบ

อธิบายลำบากเหมือนกัน แต่จูนคิดว่าจูนเป็นคนแต่งตัวง่ายๆ บางทีพี่ชายชอบล้อว่าแต่งตัวเหมือนฝรั่งป่วย คือจะหยิบชุดกางเกงนอน เสื้อนอนมาใส่ก็ได้ แต่ขอมีแบรนด์นิดนึง ชอบไอเท็มที่ดูมีดีไซน์ แต่ไม่ใช่ไอเท็มที่หวือหวา

ปกติชอบทำอะไรในวันหยุด

ถ้าเคลียร์งานเสร็จจะชอบดูหนัง หรือไปเที่ยวกับพี่ ถ้าเป็นพี่ชายก็จะไปสวนจตุจักร แต่ถ้าเป็นพี่สาวก็จะไปกินข้าว ชอบไปกินอาหารญี่ปุ่นกัน

Your most favorite playlists at the moment

Last American Virgin – Summer Camp
Honeymoon – Phoenix
Feels like we only go backwards – Tame Impala
Ce Matin La – Air
Collagen – Yokee Playboy
The Opposite Of Hallelujah – Jens Lekman

ถามถึงหนังเรื่อง Mary is Happy, Mary is Happy. บ้าง เราไปเล่นได้ยังไง

พี่เต๋อเห็นจูนจาก Facebook บวกกับเค้าเป็นเพื่อนของพี่ชายจูน ก็เลยเหมือนสนใจตั้งแต่ตอนนั้น พอมีโปรเจคเค้าเลยให้ไปลองเล่นดู ตอนแคสท์เค้าก็จะเตรียมบทมาให้ และให้เราลองพูดให้เป็นตัวเรามากที่สุด ให้รู้สึกเหมือนไม่ได้แสดง พี่เต๋อจะบอกตลอดว่าลองพูดให้เป็นตัวจูนยังไงก็ได้

อยากฝากอะไรถึงน้องๆ ที่อยากเรียนด้านดีไซน์บ้าง

จะบอกว่าอย่างหนูชอบเรียนดีไซน์ แต่ตอนเอนท์เลือกเอนท์แฟชั่น แต่เราคิดว่าจริงๆ แล้วเราชอบอะไรไม่จำเป็นต้องเรียนอย่างนั้นอย่างเดียว คือหนูก็ไม่ถนัดเย็บผ้าอะไรพวกนั้น แต่พอเข้ามาที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ ที่จุฬาฯ เค้าสอนทุกอย่าง มีทั้งกราฟฟิค และดีไซน์อื่นๆ เพราะฉะนั้นมันมีโอกาสให้เราไปได้หลายทางมาก จูนคิดว่าทุกวินาทีที่เราเรียนดีไซน์อยู่ เราจะต้องให้ความสนใจกว้างๆ ดูหนัง ฟังเพลง ดูงานอื่นๆ ของสาขาที่เรียนอยู่ด้วย เพราะจบไปจริงๆ มันทำได้หมดไม่จำเป็นว่าเราเรียนแฟชั่นจบไปก็จะต้องแบบไปตัดเสื้อ เย็บผ้า เป็นดีไซน์เนอร์เพียงอย่างเดียว

ผลงานล่าสุด

จริงๆ ไม่ได้มีผลงานในวงการขนาดนั้น เพราะจูนไม่ได้รับงานด้านนี้เท่าไหร่ ไม่ได้รู้สึกอินกับด้านนี้ แต่ล่าสุดก็จะมีหนังสั้นของแบรนด์วาโก้ที่พี่ชายเราเป็นคนทำเอง อยากให้คนดูแชร์กันเยอะๆ เพราะรู้สึกว่ามันมีประโยชน์และพี่ชายเราตั้งใจทำจริงๆ

เห็นว่าจูนไปกระกวดโครงการของนิตยาสาร Nylon ด้วย

เพิ่งไปเข้าร่วมประกวดมากับกลุ่มเพื่อนห้าคน ซึ่งพวกเราต้องดีไซน์แมกกาซีน ตอนแรกเริ่มจากเสนอเค้าว่าอยากทำคอนเซปท์อะไร ก็หา Reference ให้เค้า พอธีมเราผ่านเค้าก็จะจัดนางแบบมาให้ มีสตูดิโอ และมีเวลากำหนดมา จนสุดท้ายก็จะให้แต่ละกลุ่มทำเป็นรูปเล่มจริงออกมา เค้าก็จะให้ Content ว่ามีอะไรบ้าง มีเมกอัพ แฟชั่นเซท อะไรพวกนี้ เราก็ต้องทำกราฟฟิคให้เค้าเห็น ชื่อตีมของทีมเราคือ Young at Heart เป็นธีมไฮสคูลอเมริกันหน่อย แล้วก็ชนะด้วย

June wears PENNY LOAFERS in Burgundy from London Brown

“Public” (8-6/11-4)

— Collaboration

735938_676794065673607_913972063_o

Almost Paper, 
Special edition for “Public” (8-6/11-4) by Rukpong Raimaturapong at The comtempoparists show, Vogue fashion night out Bangkok. Available in Black & White, size 37-46.

11
15

“Public” (8-6/11-4)
by Rukpong Raimaturapong

Rukpong’s previous collection was about concealment of imperfections. His current collection uses the individuals expression on the street as core concepts. Self revelation can be expressed through observation on passersby on the street during day and night, is it seen that everyone was donning what they think is suitable for them, from school uniforms to outfits of the homeless. This collection experimented on exaggerated forms and texture, using materials ranging from synthetic fiber to traditional silk.

5

LONDON BROWN x PAINKILLER

— Collaboration

LONDON BROWN collaborated with PAINKILLER “Au Destin” ARCHETYPE A/W13
At ELLE FASHION WEEK Autumn/Winter2013

audestin

LONDON BROWN X PAINKILLER

— Collaboration

Our latest collaboration,
LONDON BROWN for PAINKILLER ARCHETYPE S/S13 “King of the jungle”
At Siam Center Fashion Visionary 2013.


more photos at facebook.com/londonbrownshop.

London Brown for Rukpong.

Huge congratulations to Rukpong for the 1st runner-up award of the Contemporary Fashion Contest 2013

LB has been chosen to be featured in this collection as  ‘London Brown for Rukpong.’  We must say that we are so proud to be a part of this special event and Rukpong definitely is a potential young talent. His future career path is sure to be amazing and we wholeheartedly believe that he will become a successful designer in the near future.


more photos at thaicatwalk.com.

Departures Creative Exhibition.

LB prouds to support all young designers.
ํyou did such great job 🙂

The exhibition lasts until Mar 3, don’t miss it!


“Departures” design thesis exhibition by the 27th graduating class of Department of Creative Arts, Faculty of Fine And Applied Arts, Chulalongkorn University

Shoes of the month.

LONDON BROWN X PAINKILLER ARCHETYPE S/S13 “King of the jungle”
more photos at facebook.com/londonbrownshop
– 

Congratulations to Rukpong

Huge congratulations to Rukpong for the 1st runner-up award of the Contemporary Fashion Contest 2013

LB has been chosen to be featured in this collection as  ‘London Brown for Rukpong.’  We must say that we are so proud to be a part of this special event and Rukpong definitely is a potential young talent. His future career path is sure to be amazing and we wholeheartedly believe that he will become a successful designer in the near future.


more photos at thaicatwalk.com.

Customer Combination

Get ready for the rainy day

Ankle Boatshoes, available in all leathers and colors, size 34-47

Sometimes the shoes guide your style

Bach Boots, available in Dark Brown and Tan, All sizes

S-W-E-E-T Camo

Pink Oiled Camo Boatshoes, available in Almond & Beige Nubuck, size 37-46

Double monk strap’s mutation

Dark gold Nubuck Double monk strap, exclusively for custom made, size 35-47

Be different

Lodge Boots, available in suede black and tan, size 34-47

Black has it all

Boatshoes, available in all leathers and colors, size 34-47

Dear Navy fan

Camo Boatshoes, available in Almond & Beige Nubuck, size 37-46

Stitched together with intention

Lodge Boots, available in suede black and tan, size 34-47

Walk the line

Camo Boatshoes, available in Almond & Beige Nubuck, size 37-46.

Does it rain on a sunny day?

Oxfords, exclusively for custom made, size 34-47