ป๊อก – วรรณฤต พงศ์ประยูร
นักดนตรีอิสระวง “Stylish Nonsense” และ “My Post Life”, เจ้าของค่ายเพลงอิสระ “Panda Records”
อาจารย์พิเศษคณะดุริยางค์ศิลป์. กรุงเทพฯ, ไทย
/
ชื่อ วรรณฤต พงศ์ประยูร ชื่อเล่นชื่อ ป๊อก อายุ 37 ปี ปัจจุบันเป็นนักดนตรีอิสระ และมีค่ายเพลงอิสระชื่อ Panda Records อีกอาชีพคือเป็นอาจารย์พิเศษคณะดุริยางค์ศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ และคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เรื่องที่สอนส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของกระบวนการผลิตงาน และการออกแบบด้านเสียง การใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ในการผลิตงานดนตรีต่างๆ
ผลงานทางด้านดนตรี
เป็นสมาชิกวง Stylish Nonsense เข้าปีที่ 20 แล้ว ทำกับเพื่อนอีกคนชื่อจูน ลักษณะของวงจะเป็นเพลงบรรเลงด้วยองค์ประกอบของผมกับจูน อีกงานคือเป็นงานเขียน เป็นงานเดี่ยวใช้ชื่อจริง นามสกุลจริง อีกโปรเจคเดี่ยวของผมมีชื่อว่า My Post Life ที่จะมีเนื้อเพลง และดนตรีประเภท folk ประกอบ
อีกวงมีชื่อว่า The Rocket Science ผมเล่นเบสในวงนี้ เป็นดนตรีแนว alternative grunge rock ยุค90 ผมเป็นคนเขียนเนื้อร้องและทำนอง คาดว่าจะมีอัลบั้มในปีนี้
อะไรเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง
สำหรับวง Stylish Nonsense แรงบันดาลใจจะมาจากคุณจูน เพื่อนร่วมวง เพราะเป็นวงประเภททดลอง ถ้าใครทำเสียงอะไรขึ้นมาเราจะต้องตอบสนองต่อเสียงนั้น เป็นทั้งทำนองดนตรี ซาวด์ หรือจะเป็น performance อะไรที่ประหลาดๆออกมา อย่างบางทีไม่มีเสียงแต่มีท่าทางอะไรแบบนี้ ก็เป็นเหมือน happening อย่างนึง แรงบันดาลใจอาจจะต้องเกิดจากสถานการณ์ตอนนั้นด้วย
ส่วนเนื้อเพลงของโปรเจค My Post Life ผมเขียนเนื้อร้องมาจากประสบการณ์ชีวิต มาทำโปรเจคนี้ในตอนที่เราอยู่ในวัยที่เริ่มมีความรู้สึกสะสมในใจพอสมควร ก็จะนำมาแต่งเพลง อย่างเมื่อคืนเพิ่งเขียนเพลงที่ได้แรงบันดาลใจจากการอ่านหนังสือ เพราะบางทีการอ่านหนังสือก็ทำให้เรารู้สึกสงสัย และตั้งคำถาม ผมว่าหนังสือก็เป็นแรงบันดาลใจที่ดี นอกเหนือจากนั้นก็จะเป็นเรื่องราวของคนรอบข้าง เพื่อน และบ้านเมือง
มุมมองเกี่ยวกับวงการเพลงไทยในตอนนี้
ผมคิดว่ากว้างขึ้น ด้วยความที่เราอยู่ตรงนี้มานานพอสมควร จะเห็นได้ว่าช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมานี้มีการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับวงการดนตรีมากขึ้น ยกตัวอย่างให้เห็นเลยก็จะมีวงดนตรีใหม่ๆ ที่ผลิตงานออกมาเอง จัดงานแสดงเอง ติดต่อกับแฟนเพลงเอง ผมเริ่มเห็นรูปแบบงานแบบอิสระมากขึ้น ซึ่งเมื่อก่อนอันนี้จะเป็นวัฒนธรรมต่างชาติ แต่ตอนนี้เริ่มเห็นในเมืองไทย โดยก่อนหน้านี้กิจกรรมเหล่านี้จะต้องขึ้นกับองค์กร หรือค่ายเพลงใหญ่ๆเท่านั้น ก็คิดว่าภาพรวมของวงการเพลงไทยดูคึกคักขึ้น ก็เหลือที่ผู้ฟังเพราะว่ายังเป็นกลุ่มน้อย ผมว่าน่าจะเป็นใน คนรุ่นถัดไปที่จะมีคนหันมาเสพย์งานดนตรีด้านนี้มากขึ้น
ยกตัวอย่างวงดนตรี 3 วง ที่มีอิทธิพลต่อวงการเพลงแนวทางเลือกในไทยมากที่สุด
Yellow Fang – เป็นวงดนตรีอิสระที่ไม่มีค่ายเพลง เค้ามีอิสระในการทำเพลงที่ดูเหมือนทั้งจริงจัง และไม่จริงจัง ผมหมายความว่ายังมีความเป็นตัวของตัวเอง และไม่ต้องเข้าไปลึกถึงธุรกิจดนตรี ผมว่าเป็นวงที่มีความน่าสนใจเยอะ และสร้างปรากฏการณ์ในวงการดนตรีเหมือนกัน
Aire – ถือเป็นตัวอย่างของวงดนตรีที่ไม่ใช่เด็กไทย หมายถึงว่าเค้าไม่ได้อยู่ในแวดวงของคนไทยอย่างพวกเรา ในวงจะมีสมาชิกเป็นคนญี่ปุ่นสองคน ลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นหนึ่งคน และคนไทยที่จบจากโรงเรียนนานาชาติอีกสองคน ผมว่าวงไอเร่น่าจับตาตรงที่เค้าทำเพลงโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยกระแส เศรษฐกิจ ความนิยม หรือแฟชั่นอะไร แต่อาศัยว่าวงดนตรีจะมีความแน่วแน่ขนาดไหน คือมันจะทำจริงรึปล่าว ถ้าทำดนตรีตามแฟชั่น พอหมดแฟชั่นมันก็จะหายไป ไอเร่เป็นตัวอย่างของวงที่อยู่ได้ด้วยฝีมือจริงๆ โดยไม่ได้สนใจว่าจะดังหรือไม่ก็ตาม
Desktop Error – วงนี้น่าจะเป็นต้นแบบของวงอินดี้ไทยที่พัฒนามาได้ด้วยตัวเอง คือเค้าเริ่มมาจากการเล่น house band ตามผับที่ต้องเล่นเพลง cover และใช้เวลานานกว่าจะมีอัลบั้ม กว่าจะมีแฟนเพลง พอมีแฟนเพลงแล้วก็ยังใช้เวลาต่อไปที่จะต้องพัฒนาวง จนพิสูจน์ว่าเค้าเป็นวงที่มีฝีมือ และมีพัฒนาการอย่างมาก
Style การแต่งตัวที่ชอบ
ผมชอบเสื้อผ้าที่มีสีสันเพราะว่าเป็นคนขี้เบื่อ ไม่ชอบอะไรซ้ำๆ ผมแต่งตัวตามสไตล์ที่ตัวเองชอบและถนัด นานๆ ทีถึงจะไปช้อปปิ้งบ้างถ้ามีเวลานอกเหนือจากเวลางาน
ส่วนใหญ่ในวันหยุดชอบทำอะไร
วันหยุดก็จะพาลูกๆ ไปเที่ยว หากิจกรรมแบบครอบครัวทำกัน บางทีก็จะไปแถวชานเมือง ไปปั้นดิน และจะชวนเพื่อนๆ ที่มีลูกวัยใกล้เคียงกันไปทำกิจกรรมร่วมกัน ถ้าไม่มีงานดนตรีก็จะทำแบบนี้ ถ้ามีงานดนตรีก็จะต้องไปดูดนตรี
บริหารเวลายังไงในการเป็นทั้งศิลปิน อาจารย์ และหัวหน้าครอบครัว
ผมนอนไม่ค่อยพอเท่าไหร่ นอนดึก ต้องตื่นเช้าไปส่งลูก กลางคืนถึงจะได้ทำงานของตัวเอง ดนตรีเป็นเหมือนงานอดิเรกไม่ได้ทำเพื่อเลี้ยงชีพ ผมโชคดีตรงที่ว่าผมเป็นอาจารย์พิเศษและไม่ต้องไปสอนทุกวัน เลยพอมีเวลาทำอย่างอื่น การเป็นอาจารย์ก็ช่วยให้เราได้แลกเปลี่ยนกับคนรุ่นใหม่ และได้ฝึกวุฒิภาวะแบบอาจารย์ มันต้องมีการใช้จิตวิทยา ความอดทน ผมว่าการสอนคนก็เหมือนการสอนตัวเอง คือได้รู้ว่าเราจะต้องอดทนเมื่อไหร่ หรือจะต้องรับฟังเมื่อไหร่ หรือเมื่อไหร่ที่จะต้องบอกกล่าว มันเป็นการบริหารอารมณ์ที่ดี
การดูแล Panda Records เป็นยังไงบ้าง
Panda Records เป็นเหมือนอีกครอบครัวหนึ่ง คนที่ร่วมงานด้วยส่วนใหญ่เป็นรุ่นน้อง หรือนักศึกษา ก็ยังมีจุดที่เราต้องสอนเค้า หรือคอยบอกเพื่อให้เค้ามีความรับผิดชอบและจะต้องสามารถดูแลตัวเองได้ ส่วนงานที่เป็นของค่ายมันก็ไม่มีอะไรมาก การทำเพลง ก็ทำมาขายไป หรือไปแสดงดนตรี ค่ายนี้ผมทำมา 14 ปีแล้ว ผมให้อิสระกับศิลปินในค่าย เหมือน freelance วันนึงเค้าอาจจะเปลี่ยนใจได้ ถ้าวันนึงอาจจะทำแล้วมันลำบากก็จะชะลอให้ช้าลง มันก็อยู่ที่เค้าว่าจะทำยังไง แต่สำหรับตัวผมเอง ผมอยู่ตรงนี้มานานแล้ว มันอาจจะผ่านช่วงเวลาที่ลำบากของชีวิตมาแล้วจนรู้สึกว่าสามารถทำต่อไปได้โดยที่ไม่ต้องกดดัน ขอแค่ให้ผมได้เล่นดนตรี คนส่วนใหญ่อาจจะมองว่าผมทำหลายอย่าง แต่การทำงานหลายอย่างทำให้ผมรู้สึกเติมเต็ม
Pok – Wannarit Pongprayoon
Artist at “Stylish Nonsense” and “My Post Life”, owner of “Panda Records” Music label, teacher at Faculty of Music. Bangkok, Thailand
/
Introduce yourself
My name is Wannarit Pongprayoon. They call me Pok. I’m 37 and I’m a freelance musician. I own an independent record label, Panda Records. Another career of mine is a teacher at Faculty of Music, Silpakorn University, Communication Arts at Huachiew Chalermprekiet University, and School of Science and Technology at University of the Thai Chamber of Commerce. I teach sound production, sound design, and electronic musical instrument in music production.
Tell us more about your music career
I’ve been one of Stylish Nonsense’s members for 20 years now. I work with my friend, June. Our band plays instrumental music composed by June and me. I also have a writing career. It’s my solo work and I use my real name for this job.
Another solo project of mine is My Post Life. It’s folk music. Another band is The Rocket Science. I’m a bassist. Our band has three members. The music style is grunge alternative rock of the ’90s. I write the lyrics and compose the melody. I expect the album to be released within this year.
What inspires you to write songs?
For Stylish Nonsense, the inspiration came from June, my fellow member. Because we are an experimental band, we respond to any sound that was made and transform it to the melody, sound, or performance that is out-of-ordinary. Sometimes an action without any sound can be a happening. Inspiration can also come from situation, audience, and place. For the lyrics in My Post Life project, I wrote from my own experience. I started working on this project at the age that I started to have all the accumulated feelings in my mind, so I expressed it through the songs. Last night, I’ve just written a song that I got an inspiration from reading. Reading can make us wonder and questions will pop in our head. I think that reading is a good inspiration. Apart from reading, inspiration can be stories from people around us, friends, and the city.
What is your view towards Thai music today?
I think that we have more varieties of music coming out and as I’ve been in the music industry for quite a long time, I’ve seen lots of musical movements in the past 2-3 years. For example, we might see new bands that write their own songs, create their own performance, and contact their own fans. I’ve seen lots of independent works. In the past, this was a foreign thing, but now I started to see lots of this in Thailand. Before this, this kind of activities need support from big organization or major record labels. I think that Thai music industry is getting livelier. It just that the audience is still in a small group. Maybe in the next generation, people will enjoy this kind of music more.
Choose three alternative Thai bands that influence the alternative music industry.
Yellow Fang – Yellow Fang is an independent band. They don’t work too seriously or not too seriously. I mean they have their freedom to create their music. They put their individuality into their music as well. They don’t get too deep into the music business. I think they are very interesting and they can make a new phenomenon in Thai music industry.
Aire – Aire is an example of Thai band that is not so Thai. They are not surrounded by Thai people like us. Two of the members are Japanese, one is Thai-Japanese, and the other two are Thai and they come from an international school. Actually I know Phil, the keyboardist, since he was in a band called Ghost Story. They played a Speed/Thrash Metal music for almost ten years and they didn’t care about the music trend in Thai music industry. They had their own fans and Thai teenagers started to be interested in their music. I think Aire is unique because they didn’t care about the trend, money, or fashion. Because when the trend fades, the music fades too. But they are determined to make their own music and take it seriously. Aire is an example of the band that uses their true talent and ability and doesn’t care whether they will be famous or not.
Desktop Error – This band is an example of Thai band that has developed themselves. They started from playing house band in a pub and covering songs. It took a long time for them to have their own album and their fan base. After they had the fan base, they still improved themselves and have become one of the quality bands that has so many improvements.
Your favourite style
I love something colorful because I get bored very easily. I don’t like something cliché. I dress the way I like, the way I feel comfortable with. I go shopping sometimes when I’m free. In the past, my favorite shopping place is Jatujak weekend market, but now I shop around my neighborhood like Sammakorn weekend market. Or if I go to rehearse music around Ramkhamhaeng University and still have some time left, I’ll look at shoes or belts.
What do you do on holidays?
On holidays I go travelling to the suburb with my family and find something that we can do together. Sometimes I bring my friends whose kids are around the same age as mine to go together. But when there is any musical performance, we would go there and enjoy the show.
How do you manage your time when you are an artist, a teacher, and a father at the same time?
I usually don’t get enough sleep. I go to bed late and get up early in the morning to drive my kids to school. Music is like my hobby; I don’t do it for a living. I think I’m quite lucky because I’m a special instructor and I don’t have to teach every day, so I have some time to do other things. Being a teacher, I can exchange thoughts with the new generation and I have to display my maturity as a teacher. Teaching needs psychology knowledge and patience. Teaching others is like teaching ourselves, we have to know when we have to be patient, when we have to listen, and when we have to instruct. It’s a good way to manage our emotions.
How do you take care of Panda records?
Panda records is like my family. People who work there are younger than me and some of them are university students. I still have to teach them and tell them to have responsibility and to take care of themselves. There’s nothing much actually. We make music, sell it, and go on a show. I’ve been doing this for 14 years now. I treat everyone like they are freelancers. One day they might change their mind. If they are not comfortable with it, it’s up to them what they are going to do. For me, I’ve been here long enough. I’ve passed the most difficult part of my life and I think that I can do it without any pressure now. I just want to play music. People might think that I do so many things. But if I do only one thing, I might feel pressured. That’s why I do lots of things so that they can compensate each other.